วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558


ออร์ฟีอัส (Orpheus) นักดีดพิณระดับเทพในตำนานกรีก
..ในสมัยโบราณ  ชาวกรีกถือเอาการดนตรีเป็นของสูง  และยกย่องนักดนตรีมาก  เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจเท่าไรนักในการที่เขาอุปโลกน์ให้เทพเจ้าหลายองค์เป็นนักดนตรีมีฝีมือ  หรือย่างน้อยก็เป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องดนตรีขึ้น  เช่น  เทพีเอเธน่า  หรือ  มิเนอร์วาซึ่งครองเกษตรกรรมและการฝีมือเย็บปักถักร้อย  เป็นผู้ประดิษฐ์ขลุ่ย  แม้ว่าจะไม่ได้เล่นเองก็ดี  แพนเทพขาแพะก็เป็นผู้ประดิษฐ์ปี่อ้อ  เป่าเสียงเสนาะดังเสียงนกไนติงเกลใน วสันตฤดู  เฮอร์มิสเทพครองการพาณิชกรรมและการสื่อสาร  เป็นผู้ประดิษฐ์พิณถึอที่เรียกว่า ไลร์ (Lyre) และมอบให้อพอลโลใช้ดีดปรรเลงเพลงขับกล่อมเทพบนเขาโอลิมปัสเป็นประจำ  คณะศิลปวิทยาเทวีถึงจะไม่มีเครื่องดนตรีทำเพลง  แต่ก็มีเสียงขับร้องไพเราะหาที่เสมอเหมือนมิได้   ส่วนอพอลโลเอง นอกจากครองเกษตรกรรมและประณีตศิลปแล้ว  ยังครองการดนตรีโดยตรงอีกด้วย  

             ถัดจากเทพเจ้า  ก็มีนักดนตรีในหมู่มนุษย์หลายคนที่มีตำนานปรากฏว่ามีฝีมือเยี่ยมเกือบเสมอด้วยเทพ  แต่ที่เห็นเด่นสุดไม่มีใครเกินและเสมอเหมือนก็คือ ออร์ฟิอัส (Orpheus) ตามตำนานกล่าวว่าฝีมือดีดพิณของ  ออร์ฟิอัสไพเราะหนักหนา  จนถึงแก่ว่าคราใดเสียงเสนาะจากเพลงพิณของออร์ฟิอัสล่องลอยโหยหวนไปในกลางดง  ครานั้นแม้แต่กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากก็หยุดไหล  เสือ  สิงห์  และสัตว์ไพรที่แสนดุร้ายก็กลับเชื่องและมีอาการซบเซา ไปถนัดตา  นางอัปสรทั้งปวงก็เคลิบเคลิ้มหลงไหลรัญจวนใจใคร่ก็จะให้ออร์ฟิอัสเชยชิดพิสมัยไปตามๆ กัน 
             ตามตำนานได้แสดงฝีมือบรรเลงเพลงอันไพเราะไว้มากมาย  อย่างเช่นเมื่อครั้งออร์ฟิอัสสมทบไปในเรือ ของเยสัน  ในการไปเอาขนแกะทองคำ  ยามที่พวกฝีพายเหนื่อยอ่อนโรยกำลังเต็มทีจนเกือบจะพายต่อไปไม่ไหว ออร์ฟิอัสได้ดีดพิณขับกล่อมให้เกิดกำลัง ลืมความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าไปหมดสิ้น  หรือเมื่อพวกผู้กล้าในเรือเกิดขัดใจทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนเกิอบจะทำร้ายกัน  ออร์ฟิอัสก็ใช้พิณขับกล่อมทำให้โทสะของคนกล้าในเรือเหล่านั้นให้ บรรเทาเบาลงจนเหือดหายไปหมดสิ้น  ไม่เกิดเหตุร้าย หรือในยามเมื่อเรือผ่านน่านน้ำแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้แหลมปิโลรัสในเกาะซิสิลี  ซึ่งเป็นน่านน้ำที่ชาวกรีกโบราณกลัวเกรงกันนัก เนื่องจากในน่านน้ำแห่งนั้น เป็นที่อยู่ของนางอัปสร ไซเรน (Siren) ซึ่งมีเสียงไพเราะจับใจยิ่งนัก จะล่อให้เรือไปหลงคว้างจนคนในเรืออดอาหารตายมาเสียนักต่อนักแล้ว  ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงเพลงของนางไซเรน ออร์ฟิอัสก็ได้ดีดพิณขับเพลงกลบเสียงนางไซเรน จนสิ้น จูงใจคนในเรือให้มาฟังเสียงพิณของตน  และแล่นเรือไปตามร่องน้ำจนรอดผ่านมาได้  เรือของเยสันจึงรอดมาได้เพราะออร์ฟิอัสโดยแท้ 

              ออร์ฟิอัสเป็นบุตรนางคัลลิโอพี เทวีประจำบทกวีในคณะเทวีศิลปวิทยา โดยบางตำนานกล่าวว่า มีบิดาเป็นเทพอพอลโลเลยทีเดียว (บ้างก็ว่าเป็น เฮอร์มิส) ประทานพิณให้ออร์ฟิอัสดีดมาแต่น้อย และเมื่อ เจริญวัยเติบโตขึ้น ออร์ฟิอัส ก็ไม่เอาใจใส่อะไรทั้งหมด นอกจากการดึดพิณ ถึงมาตรว่านางอัปสรทั้งปวงพากัน มั่นหมายออร์ฟิอัสเป็นคู่ชิดชม แต่อย่างไรก็ตามสามารถชนะใจออร์ฟิอัสได้ นางนั้นคือนางอัปสร ยุริดดิซี่ (Eurydice)

             แต่ชะตากับเล่นตลก ออร์ฟิอัสกับนางยุริดดีซีเป็นคู่โศกไม่ใช่คู่สุข เมื่อขณะทำการวิวาห์นั้น คบเพลิง ของ ไฮเมน (Hymen) เทพครองการวิวาห์เป็นควันโขมง แทนที่จะเป็นเปลวไฟอันสว่างไสว ซึ่งเป็นการ บอกลางร้ายในการวิวาห์ อยู่มาไม่นานนางยุริดดิซึก็ถูกงูกัดตาย ดวงวิญญาณออกจากร่างไปสู่ยมโลก ออร์ฟิอัสเสียใจในการตายก่อนถึงวัยอันสมควรของคู่ครองเป็นอย่างยิ่ง  จึงบนบานขอให้ซูสเทพปริณายกโปรดชุบนางยุริดดิซี ให้คืนชีวิต ซูสสงสารออร์ฟิอัส แต่ไม่อาจ สนองได้จึงแนะนำให้ออร์ฟิอัสลงไปตามหานางในบาดาล และ ขอนางคืนต่อเทพฮาเดส เจ้าแห่งบาดาลนั้นเอง  

             ออร์ฟิอัสดั้นบาดาลลงไปถึงเขตที่มีสุนัขสามหัว ชื่อเซอร์บิรัส เฝ้าประตูเข้าตรุชั้นใน อันเป็นที่ประทับของฮาเดส มันไม่ยอมให้คนเป็นผ่านเข้าประตู หรือวิญญาณคนตายออกจากประตูเป็นอันขาด พอแลเห็นออร์ฟิอัสตรงมา มันก็คำรามเห่าแห้ แยกเขี้ยวคุกคามอย่างดุร้าย แต่ออร์ฟิอัสก็ไม่ถอยหนี เขาเพียงแต่หยุดเท่านั้น แล้วดีดพิณคู่มือ ขับกล่อมเซอร์บิรัสด้วยเพลงอันไพเราะจนมันเซื่องเซาลงและในที่สุดมันก็ยอมให้ออร์ฟิอัสล่วงเข้าประตูไปด้วยความสงบ เสียงเพลงอันแสนขลังประดุจมนต์สะกดของออร์ฟิอัส ดังกังวานไปจนถึงส่วนลึกล้ำของตรุทาร์ทะรัส ทำให้เหล่าพวกที่ ต้องโทษทัณฑ์ได้รับความทรมานอยู่ในยมโลก ลืมความทรมานไปได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่อำนาจความขลังของเพลงออร์ฟิอัส จะได้มีเพียงเท่านี้ก็หาไม่ ด้วยเหตุการณ์ที่จะแสดงอำนาจความขลังเป็นที่สุดยังมีอีก

             ออร์ฟิอัสล่วงเข้าเขตตรุทาร์ทะรัสและดั้นด้นต่อไปจนถึงประตูที่ประทับของฮาเดสเจ้าแห่งยมโลกกับเทวี เพอร์เซโฟนีมเหสี แวดล้อมด้วยเทวีทัณฑกรที่ปราศจากความปรานี เป็นภาพที่ไม่เคยประจักษ์แก่สายตามนุษย์เลยใน กาลก่อน เพราะว่าไม่มีผู้มีชีวิตคนใดจะได้ล่วงล้ำไปถึงที่นั่นดั่งออร์ฟิอัสในครั้งนี้ ออร์ฟิอัสทูลต่อเทพฮาเดสให้รู้ถึงความมุ่ง หมายของตนในการล่วงล้ำไปถึงตรุทาร์ทะรัสนั้นแล้วก็ดีดพิณขับเพลงครวญโหยหวนอย่างสุดฝีมือ รำพันถึงความทุกข์ของ ตน

             การขับเพลงของออร์ฟิอัสได้ผล บันดาลให้เทพฮาเดสตื้นตันถึงกับหลั่งอัสสุชลลงพราก ๆ และอนุญาตให้ออร์ฟิอัส พานางยุริดดิซีกลับขึ้นมาในมนุษย์โลกได้ดังประสงค์ แต่มีเงื่อนไขห้ามออร์ฟิอัสเหลียวหลังมองดูนางในระหว่างทางเป็นอัน ขาด จนกว่าจะพาขึ้นพ้นยมโลกเป็นที่เรียบร้อย 

             ออร์ฟิอัสยอมรับเงื่อนไขด้วยความดีใจ เดินนำหน้านางยุริดดิซีออกจากตรุทาร์ทะรัส ลัดเลาะกลับตามทางเก่า โดยไม่หันหน้ามองแม้แต่ข้างซ้ายและข้างขวาเลย คอยข่มใจมิให้พะวงถึงนางผู้ตามหลังตลอดทาง แม้จะรู้อยู่แก่ใจดีว่านาง คงจะต้องเดินอยู่ใกล้ ๆ ก็ยังมิวายเป็นห่วง พอถึงที่สว่างแล้ว ในทันทีที่ออร์ฟิอัสก้าวออกจากคูหาที่จะลงสู่บาดาล ไม่ทัน เฉลียวใจว่านางยุริดดิซียังอยู่ข้างใน เหลียวขวับไปดูเพื่อความแน่ใจว่า ที่รักของเขาตามทันหรือไม่ แต่เป็นการด่วนเกิน ไป หล่อนยังไม่ทันออกพ้นปากคูหา เขาได้เห็นหล่อนมัวๆ อยู่ในที่มืดสลัว จึงยื่นมือออกไปจะรับหล่อนและพร้อมกันนั้นนาง ยุริดดิซีก็หายวับไปฉับพลัน ในขณะเดียวกันออร์ฟิอัสคงแว่วแต่เสียง "ขอลาลับ" มาเท่านั้น 

             ออร์ฟิอัสใจหายแทบคลั่ง ถลันกลับลงไปตามนางอย่างอุตลุด แต่ไม่อาจล่วงล้ำลงไปได้อีกเป็นตรั้งที่สอง จึงจำใจต้องกลับ ขึ้นมาด้วยความสิ้นหวังสิ้นอาลัยในชีวิต และสิ้นจนกระทั่งความเอาใจใส่ในเพลงพิณ เที่ยวซัดเซพเนจรไปจนถึงแดนชนชาติป่าเถื่อน ที่ดุร้ายในแคว้นเธรส และในที่สุดก็ถูกหญิงชาวป่าพวกนับถือ เทพไดโอนิซัสกลุ้มรุมฆ่าตาย เมื่อขณะจะตายออร์ฟิอัสรำพันแต่คำว่า "ยุริดดิซี" ไม่ขาดปากจนชีวิตออกจากร่าง ล่องลอยไปสมทบกับนางผู้เป็นที่รักในที่สุด บรรดาสายน้ำลำธารรุกขชาติและน้ำพุก็จำคำ รำพันของออร์ฟิอัสนั้นมา ทวนพร่ำอยู่เป็นนิตย์ตั้งแต่บัดนั้น ส่วนศิลปเทวีก็เอาซากศพออร์ฟิอัสฝังไว้ที่ตีนเขาโอลิมปัส ณ ตำบลซึ่งนกไนติงเกลร้องเพราะเสนาะโสตกว่าที่อื่นทั้งสิ้นตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้  นอกจากนี้ทวยเทพยังประสิทธิ์ประสาทให้พิณถือของออร์ฟิอัส เป็นกลุ่มดาวกลุ่มหนึ่งชื่อว่า ไลรา (Lyra) ให้คนทั้งหลายระถึงฝีมือดีดพิณและเรื่องราว อันแสนเศร้าของออร์ฟิอัสมาจนตราบเท่าทุกวันนี้

Hercules เป็นวีรบุรุษของชาวกรีก ที่แข็งแรงที่สุดในโลก และเขาก็มีความมั่นใจ ในความแข็งแกร่ง ของร่างกายของตนเอง และประเมินความสามารถของเขา เทียบเท่ากับเทพเจ้าเลยทีเดียว ซึ่งก็ไม่ได้เป็นการประมาณตน ไว้สูงเกินไปเลย เพราะเขาได้ช่วยเทพเจ้า ในการเอาชนะ Giants เขาบ้าบิ่นถึงขนาด ท้าทายเทพ Apollo เพื่อที่จะบังคับ เอาคำตอบจาก Oracle ของ Apollo
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ใช่คนที่ฉลาดเท่าไรนัก เป็นคนที่มีอารมณ์ร้อน เขามักจะระเบิดโทสะ ลงบนผู้บริสุทธิ์ และด้วยความที่เขามีพละกำลังมหาศาล ทำให้รุนแรงถึงชีวิต แต่เมื่อเขารู้สึกตัว เขาก็จะรู้สึกเสียใจอย่างมาก และรับการลงโทษทุกชนิด ไม่มีใครสามารถลงโทษเขาได ้ถ้าเขาไม่เต็มใจ และก็ไม่มีใครสามารถทนทาน การลงโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเขาได้
ตลอดชีวิตของวีรบุรุษคนนี้ หมดไปกับการไถ่บาป ที่เขาได้ทำครั้งแล้วครั้งเล่า และเขาก็รับการลงโทษ ด้วยความเต็มใจ ถึงแม้ว่า จะเป็นงานที่ไม่มีทางสำเร็จก็ตาม หลายครั้งที่เขาลงโทษตัวเอง ขณะที่คนอื่นๆ ปฏิเสธที่จะลงโทษเขา ความยิ่งใหญ่ของวีรบุรุษคนนี้ ไม่ได้อยู่ที่ความสามารถ ในการประกอบกิจ ที่ยากลำบากทั้งหลาย ได้ด้วยพละกำลังมหาศาล แต่อยู่ที่ความดีของจิตวิญญาณ ที่มีความสำนึกผิด ในบาปที่เขาได้ก่อขึ้น และความเต็มใจ ในการที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อลบล้างความผิดนั้น
ชีวิตของ Hercules
Hercules เกิดใน Thebes (ทีบีส) เป็นบุตรของ Zeus ที่เกิดจาก Alcmene (อัลค์-มี-นี) จำแลงมาในรูปของสามีของเธอ Amphitryon (แอมฟิทรีออน) นายพลของ Thebes ระหว่างที่กำลังออกรบ Alcmene มีบุตรชายสองคน Iphicles และ Hercules
ชื่อกรีกของ Hercules คือ Herakles ซึ่งแปลว่าของขวัญล้ำค่าจาก Hera (แต่เนื่องจากชื่อ Hercules เป็นที่รู้จักกันทั่วไป มากกว่าชื่อกรีก จึงใช้ชื่อละตินเฉพาะชื่อนี้ แต่ตัวละครอื่นๆ มีชื่อเป็นกรีกทั้งหมด) ยิ่งทำให้ Hera โกรธมากยิ่งขึ้น และตั้งใจจะฆ่า Hercules ให้ได้
เมื่อ Hercules อายุเพียง 1 ปี Hera ส่งงูตัวมหึมาเข้ามาที่ห้องเด็ก เมื่อเด็กๆ ตื่น Iphicles ก็หวีดร้อง ในขณะที่ Hercules บีบคองูมือข้างละตัว เมื่อพ่อแม่ได้ยินเสียง ก็รีบวิ่งมาที่ห้องเด็ก ก็เห็น Hercules นั่งหัวเราะ กำมือแน่นอยู่รอบคองู ที่หมดพิษสง และยื่นซากงูให้ Amphitryon อย่างร่าเริง ทำให้ทุกคนรับรู้ว่า ชะตาชีวิตของเด็กคนนี้ ถูกลิขิตมาให้เป็นคนสำคัญในอนาคต
โหรตาบอดที่มีชื่อเสียงของ Thebes ชื่อ Teiresias กล่าวว่า “ข้าขอสาบานว่า ทั้งลูกชายของเจ้า และเจ้าผู้ให้กำเนิด จะกลายเป็นตำนานเล่าขานทั่วไป ของชนชาวกรีก บุตรของเจ้าจะเป็นวีรบุรุษ ของมวลมนุษยชาติ”
Hercules ได้รับการอบรม ตามอย่างที่กุลบุตรชาวกรีกจะได้รับ แต่เขาไม่ชอบวิชาดนตรี เคยถึงกับลงมือเกินกว่าเหต ุทำให้ครูสอนเสียชีวิต ถึงแม้ว่าเขาจะเสียใจมากเพียงไร เขาก็ยังทำผิดซ้ำซาก อย่างไรก็ตาม วิชาอื่นๆ ที่ Hercules ชอบ เช่น วิชาดาบ, วิชามวยปล้ำ, วิชาขับรถเทียมม้า อาจารย์ที่สอนวิชาเหล่านี้ ก็มีชีวิตอยู่เป็นปกติสุข
เมื่อเขาเติบโตเต็มที่ มีอายุได้ 18 ปี เขาก็สามารถ ฆ่าสิงโตได้เพียงลำพัง หลังจากนั้น เขาสามารถพิชิตพวก Minyans ที่เป็นเมืองที่บรรดา ชาวเมืองทีบีส ต้องส่งส่วยให้ เป็นประจำได้สำเร็จ จากงานนี้เอง เขาได้แต่งงานกับเจ้าหญิง Megara เป็นรางวัล เขาเป็นสามีที่ดี และพ่อที่ดีของลูกๆ
เมื่อเขามีบุตรคนที่สาม Hera ได้ส่งความบ้าคลั่งมาหาเขา ทำให้เขาฆ่าลูกๆ รวมทั้ง Megara ที่พยายามปกป้อง ลูกคนสุดท้อง เมื่อเขาได้สติ เขาก็พบห้องโถงที่เตมไปด้วยคราบเลือด พร้อมกับร่างกายที่ไร้วิญญาณ ของลูกและภริยาของเขา Hercules ยืนนิ่งมีแต่เพียง Amphitryon ที่กล้าเข้ามาหาเขา และเล่าความจริงที่เกิดขึ้นให้ฟัง
เมื่อเขาได้ทราบเรื่องทั้งหมด Hercules จึงกล่าวว่า “และข้าเป็นคนฆ่าผู้เป็นที่รักของข้าเอง” ถึงแม้ Amphitryon จะพยายามอธิบายว่า เป็นเพราะ Hercules ขาดสติไปชั่วขณะ เขาก็ไม่สามารถที่จะทนดู โดยที่ไม่ลงโทษตัวเองได้ “ข้าสมควรจะชดใช้การตายเหล่านี้ด้วยชีวิตของข้าเอง”
ก่อนที่ Hercules จะด่วนฆ่าตัวตายไปนั้น ก็พลันเกิดปาฏิหาริย์ขึ้น ปาฏิหาริย์นี้ไม่ได้เกิดจากเทพเจ้า ลงมาจากสวรรค์ แต่เป็นปาฏิหาริย์ ที่เกิดจากความเป็นเพื่อน Theseus ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา ยื่นมือออกมาจับมือที่เปื้อนเลือดของ Hercules ไว้ (ซึ่งตามความเชื่อของชาวกรีกทั่วไปว่า Theseus จะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด และมีส่วนในการกระทำของ Hercules ด้วย)
Theseus กล่าวกับ Hercules ว่า “อย่าตกใจไปเลย อย่าห้ามไม่ให้ข้าได้มีส่วนร่วม ในการกระทำทุกอย่างของเจ้า ความเลวร้ายที่ข้าได้แบ่งเบามาจากเจ้านั้น ไม่ใช่ความเลวร้ายสำหรับข้าเลย และฟังทางนี้ มนุษย์ที่มีจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ สามารถทนแรงกระทำจากสวรรค์ได้ โดยที่ไม่กระพริบตาด้วยซ้ำ”
Hercules “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าได้ทำอะไรลงไป”
Theseus “ข้ารู้ ความทุกข์ของท่าน แม้แต่สวรรค์ยังรับรู้”
Hercules “ถ้าเช่นนั้นปล่อยให้ข้าได้ตายเถิด”
Theseus “วีรบุรุษไม่เอ่ยคำเช่นนั้นหรอก”
Hercules “นอกจากตายแล้วข้าจะทำอะไรได้” Hercules สำลักถ้อยคำออกมา “ถ้าอยู่หมู่ชนจะติเตียน กล่าวขานว่า ‘คนนั้นนั่นแล ที่ฆ่าทั้งเมียและลูกของเขา’ ข้ามีตราบาปไปชั่วชีวิต”
Theseus “แม้จะเป็นเช่นนั้นเจ้าก็ควรต้องทนทุกข์ และเข้มแข็ง มาอยู่เอเธนส์กับข้า ใช้ของร่วมกับข้า ใช้ชีวิตกับข้า จากการที่ได้ช่วยเจ้า เจ้าจะตอบแทนให้แก่ข้า และเมืองเอเธนส์อย่างใหญ่หลวงนัก”
Hercules นิ่งไปพักหนึ่งแล้วจึงตอบถ้อยอย่างช้าๆ ว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ปล่อยให้มันเป็นไปเถิด ข้าจะเข้มแข็งและรอคอยความตาย”
หลังจากนั้นทั้งสองก็ไปยังเอเธนส์ ชาวเมืองเอเธนส์เห็นชอบกับ Theseus ที่ว่า Hercules ไม่สมควรต้องรับผิดจากการกระทำที่เขาไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าได้ทำอะไรลงไป แต่ Hercules เองที่ไม่เข้าใจเรื่องเช่นนั้น เขามีแต่อารมณ์ที่เป็นใหญ่ เขาจึงอยู่เอเธนส์ได้ไม่นานนัก
แล้วเขาก็ไปที่ Delphi เพื่อปรึกษา Oracle (ผู้มีญาณวิเศษ เป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า) ของเทพ Apollo ซึ่ง Oracle ก็มองเรื่องที่เกิดขึ้น ในแง่เดียวกันกับที่เขาคิด เพื่อล้างมลทินของเขา Oracle บอกว่า เขาจะต้องหาญาติของเขา Eurystheus (ยู-ริส-ทูส) กษัตริย์ของ Mycenae (หรือบางเรื่องก็ชื่อ Tiryns) และรับใช้ทุกอย่างที่ Eurystheus สั่ง
Eurystheus เป็นคนทั้งโง่และหยาบช้า เมื่อ Hercules มาปวารณาตัวเป็นทาส Eurystheus ก็สั่งงานให้ Hercules ทำภารกิจที่เรียกว่า “แรงงานของ Hercules” (The labours of Hercules) แต่ละงาน ล้วนแล้วแต่เป็นงานที่ทำให้สำเร็จได้ยาก ซึ่งมีทั้งหมด 12 งาน ได้แก่
การล่าสิงโตเมืองนีเมีย (The Nemean Lion)
การปราบ Hydra (The Lernean Hydra)
การพากวางแดง (The Hind of Ceryneia)
การพาหมูป่ากลับมาเป็นๆ (The Erymanthian Boar)
การทำความสะอาดคอกม้าเมือง Augeas (The Augean Stables clean up)
การขับไล่นกที่เมือง Stymphalos (The Stymphalian Birds)
การปราบวัวกระทิงเมือง Crete (The Cretan Bull)
การพาม้ากินคนของ Diomedes กลับมา (The Man-Eating Horses of Diomedes)
การนำเอาเข็มขัดของ Hippolyte มา (Hippolyte’s Belt)
การพาเอาคอกปศุสัตว์ของ Geryon กลับมา (The Cattle of Geryon)
การนำเอาแอปเปิลของ Hesperides (The Apples of the Hesperides)
การพาเอา Ceberus กลับมาเป็น ๆ (Ceberus)
หลังจากที่เขาได้ทำงานทั้ง 12 ชิ้นเรียบร้อย ชีวิตเขาก็ไม่ค่อยสงบสุข เพราะเขามักจะก่อเรื่องขึ้น และพยายามไถ่โทษตัวเองอยู่เสมอ จนกระทั่งได้พบกับ Deianira Hercules ได้ต่อสู้กับ Achelous เทพแห่งแม่น้ำ เพื่อ Deianira
ในการต่อสู้ ไม่ว่า Achelous จะพยายามใช้เหตุผลหว่านล้อมเท่าใด Hercules ได้แต่บอกว่า “ข้ามีพละกำลังที่แข็งแกร่งกว่าฝีปาก สู้กันแล้วข้าจะแสดงให้เห็นว่า ข้าชนะในการต่อสู้ ส่วนเจ้าก็อาจจะพูดชนะ” Achelous ได้จำแลงเป็นวัวกระทิงในการต่อสู้ และโจมตีอย่างรุนแรง ในการต่อสู้ Hercules ได้หักเขาข้างหนึ่งซึ่งกลายเป็น Cornucopia เขาแห่งความอุดมสมบูรณ์ และได้ชัยชนะ ทำให้ Hercules ได้แต่งงานกับ Deianira
หลังจากที่ Hercules ได้ไปรบเพื่อล้างแค้นกษัตริย์ Eurytus (ยุ-ริ-ทัส) ที่ทำให้เขาต้องถูกลงโทษจาก Zeus ให้ไปเป็นทาสของ Omphale จากการฆ่าลูกชายของยูริทัส จากชัยชนะนี้ เขาได้เชลยศึกเป็นเจ้าหญิง Iole ทำให้ Deianira เกิดความริษยา จึงทอเสื้อคลุมที่ลงมนต์จากเลือดของ Nessus คนครึ่งม้า ที่บอกว่า เลือดของเขาจะใช้เป็นมนต์เสน่ห์ เมื่อ Hercules คิดนอกใจ แต่เนื่องจาก Nessus ตายด้วยศรอาบเลือด Hydra ของ Hercules จึงทำให้เลือดมีพิษด้วย เมื่อ Hercules ใส่เสื้อดังกล่าว จึงร้อนเหมือนถูกไฟเผา แม้จะถอดออกแล้วก็ตาม Deianira ฆ่าตัวตายด้วยสำนึกผิด
ถ้าเป็นคนธรรมดาอาจจะตายด้วยพิษ ที่อยู่ในเสื้อ แต่ Hercules มีชีวิตอยู่ด้วยความทรมาน เขาจึงขอให้ก่อกองไฟขึ้นที่ภูเขา Oeta เมื่อเขาทราบว่า เขาจะได้ตายตามปรารถนา เขาก็รู้สึกเป็นสุขจึงเอ่ยปากว่า “โอ นี่คือการพัก นี่คือจุดจบ” เขาได้ขอให้ Philotetes เป็นคนจุดไฟ และมอบธนูและลูกธนู ซึ่งได้ถูกใช้ในสงครามกรุงทรอยในภายหลัง เมื่อไฟลุกท่วม Hercules ก็หายไปจากโลกมนุษย์ Athena ได้พาเขาขึ้นสู่สวรรค์ในรถลาก และก็สามารถไกล่เกลี่ยกับ Hera ได้สำเร็จ และแต่งงานกับ Hebe ลูกของ Hera

ในบรรดาวงศ์โอลิมเปี้ยนมีเทพอยู่องค์หนึ่งไม่เหมือนทวยเทพองค์อื่น โดยมีร่างกายกึ่งมนุษย์กึ่งสัตว์ แต่ก็ได้รับการยอมรับเป็นเทพองค์หนึ่งในสวรรค์ชั้นโอลิมปัส มีนามว่า เทพแพน

แพน (Pan) เป็นเทพในระดับหลานของซูส เทพบดี กล่าวคือ เธอเป็นโอรสของเทพ เฮอร์มีส กับนางพรายน้ำ อนงค์หนึ่ง แพนเป็นเทพแห่งทุ่งโล่งและดงทึบ หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เทพ แห่งธรรมชาติทั้งปวงก็ไม่ผิด เพราะคำว่า "แพน" ในภาษากรีกแปลว่า "All" หรือทั้งหลายทั้งปวงนั่น แล

เทพองค์นี้มีรูปร่างผิดแปลกกับเทพอื่น ๆ ที่มักสวยสง่างาม เทพแพนเป็นส่วนผสมระหว่างมนุษย์ กับสัตว์ กล่าวคือ ร่างกายหน้าตาเป็นมนุษย์ แต่ท่อนล่างลงไปเป็นแพะ บนศีรษะมีเขาเป็นแพะเช่นกัน และมีหนวดเครา

ได้มีตำนานกล่าวไว้น่าสนใจดียิ่ง กล่าวคือ แพนได้ ไปยลโฉมของ นางพรายน้ำตนหนึ่งเข้า นามว่า ไซรินซ์ (Syrinx) เกิดถูกชะตาต้องใจเป็นอันมาก จึงติดตาม ไปหมายของความรัก แต่นางพรายน้ำไม่ยินดีด้วย เนื่องจากหวั่นกลัวในรูปร่างของแพน เทพแห่งธรรมชาติ จึง วิ่งหนีเตลิดไป แพนก็ออกไล่ตาม จนมาถึงริมน้ำ ครั้นนางพรายน้ำเห็นท่าจวนเจียนหนีไม่พ้นแน่ จึงตะโกนขอ ความช่วยเหลือจากเทพแห่งท้องธาร คำขอร้องของ นางสัมฤทธิ์ผล เทพแห่งท้องธารสงสารนางจึงดลบันดาลให้นาง กลายเป็นต้นอ้อประดับอยู่ริมฝั่งน้ำนั่นเอง เมื่อเทพแพนมาถึง และได้รู้ความจริงก็เศร้าสร้อยมาก จึงเอาต้นอ้อนั้น มาตัดและมัดเข้าด้วยกันใช้เป็นเครื่องดนตรีเป่าอย่างไพเราะสืบม
   

มาพูดถึงวีรบุรุษแห่งกรีกอีกท่านหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ทรงพลกำลังเหมือนดั่งเฮอร์คิวลิสแต่กลับมีความเหมือนกันที่เป็นลูกครึ่งเทพเจ้าเช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่น่าแปลกประหลาดว่า เพอร์ซุสเป็นทวดแห่งเฮอร์คิวลิส ซึ่งจะเล่าในช่วงต่อไป หรืออาจเป็นเพราะเหตุนี้ส่วนหนึ่งจึงทำให้เฮอร์คิวลิสมีอภิพลังมหาศาลเพราะเชื้อเทพมาทั้งสองสายทั้งฝ่ายมารดาและบิดาที่เป็นจอมเทพอยู่แล้ว ผู้คนทั้งหลายรู้จักเปอร์ซุสในนาม "เพอร์ซุสผู้สังหารเมดูซา" ซึ่งเป็นอสูรร้ายที่น่ากลัว ที่สามารถทำให้ผู้ที่สบตาของมันแล้วกลายเป็นหินไป…

         ตำนานกล่าวว่าเพอร์ซุสว่าเป็นพระโอรสแห่งเทพซีอุสกับพระชายาที่เป็นมนุษย์นามว่า "ดาเนีย" เขาเล่าว่า ท้าวอะคริสิอัสกษัตริย์แห่งเมืองอาร์กอสผู้เป็นพระราชบิดาแห่งเจ้าหญิงดาเนียทรงเข้ารับคำทำนายจากนักบวชวิหารเดลฟีว่า
  "เจ้าจะต้องตายด้วยบุตรชายแห่งธิดาเจ้า"
    หลังจากนั้นท้าวอะคริสิอัสจึงกลัวว่าพระองค์จะตายจึงป้องกันเป็นการดับไฟเสียแต่ต้นลมโดยการสร้างหอคอยที่สูงและขังเจ้าหญิงดาเนียไว้ เพื่อป้องกันเจ้าหญิงมีความสัมพันธ์กับชายอื่นจนตั้งครรภ์ แต่ไหนจะรอดพ้นจากคำทำนายเมื่อเทพซีอุสเกิดหลงรักเจ้าหญิงดาเนียและมาร่วมภิรมย์สุขสมจนเจ้าหญิงตั้งครรภ์และให้กำเนิดพระโอรส พอท้าวอะคริสิอัสทราบเท่านั้นก็จับเจ้าหญิงดาเนียใส่หีบพร้อมพระโอรสพระองค์น้อยลอยทิ้งลอยทะเลไป และแล้วหีบใบนี้ก็ลอยไปติดที่เกาะเซอริฟัส และเจ้าหญิงพร้อมพระโอรสได้รับความช่วยเหลือจากหัวหน้าชาวประมงนามว่า"ดิคทิส"ซึ่งเป็นพระเชษฐาแห่งกษัตริย์โพลิเดคทิส ดิคทิสจึงตัดสินใจส่งเจ้าหญิงพร้อมพระโอรสให้ท้าวโพลิเดคทิสอุปถัมภ์ จนพระโอรสองค์น้อยเติบโตเป็นหนุ่มรูปงาม นามว่า "เพอร์ซุส" ท้าวโพลิเดคทิสซึ่งหลงรักในเจ้าหญิงดาเนียมานานแต่มีเพอร์ซุสเป็นก้างขวางคอ พระองค์จึงจัดการเขาโดยส่งเพอร์ซุสไปตายโดยให้เพอร์ซุสไปนำหัวเมดูซามาเป็นของขวัญ เพอร์ซุสก็ยอมรับภารกิจครั้งนี้ 
      
         เพอร์ซุสออกเดินทางไปทางทิศตะวันตกซึ่งท้าวโพลิเดคทิสบอกว่า
   "ที่อยู่ของปีศาจร้ายเมดูวาอยู่สุดขอบโลกทางทิศตะวันตก…"
         เช่นนั้นเพอร์ซุสจึงต้องเดินทางไปยังทิศตะวันตกแต่ไม่ทันไรก็มีทะเลมาขว้างกั้น แต่สวรรค์ยังปราณีเทพซีอุสผู้เป็นบิดาสั่งพระเทวโองการให้เทพฮาเดส เทพีอธีน่า และเทพเฮอร์เมสช่วยเพอร์ซุสในภารกิจครั้งนี้ จากนั้นเทพเจ้าทั้ง 3 พระองค์ทรงประทานของวิเศษพระองค์ละอย่างแก่เพอร์ซุส
 - เทพฮาเดส ประทานหมวกนักรบที่มีขนนกเป็นพู่สวยงาม
 - เทพีอธีน่า ประทานโล่
 - เทพเฮอร์เมส ประทานเกือกติดปีก
     เพอร์ซุสดีใจกับของวิเศษที่เทพเจ้าประทานมาให้ เพอร์ซุสจึงได้โอกาสถามเทพเจ้าว่าปีศาจเมดูซาอยู่ที่ใด เทพีอธีน่าจึงตอบว่า
    "พวกเราเหล่าทวยเทพมิรู้หรอก แต่มีกลุ่มเทพีกราเอีย 3 พี่น้องเท่านั้นที่รู้ว่าปีศาจเมดูซาอยู่ที่ไหน"
   "พระองค์และเทพี 3 พี่น้องกราเอียอยู่ที่ไหนล่ะพระองค์"
   "เจ้าจงใช้เกือกติดปีกแห่งข้าเหาะไปยังเกาะกลางทะเลที่นั่นคือที่อยู่ของพี่น้องเทพีกราเอีย" เทพเฮอร์เมสกล่าว
   "ขอให้เจ้าทำภารกิจนี้สำเร็จ" เทพฮาเดสกล่าว

       เมื่อเพอร์ซุสได้คำตอบเป็นที่พอใจจึงลาและขอบคุณเทพเจ้าที่ช่วยเหลือ เพอร์ซุสจึงเดินทางต่อไปโดยอาศัยเกือกติดปีกของเทพเฮอร์เมส จนมาถึงเกาะที่อยู่ของ เทพีกราเอีย 3 พี่น้อง เพอร์ซุสพบกับภาพของเทพีที่น่าสงสารที่ตาบอดทุกพระองค์ แต่มีดวงตาเพียงดวงเดียวที่แบ่งกันใช้เท่านั้น เพอร์ซุสขโมยดวงตาแห่งเทพีกราเอียมาเพื่อหลอกถามถึงที่อยู่ของปีศาจเมดูซา เหล่าเทพียอมบอกทางแก่เพอร์ซุสจนไปถึงเกาะอันเป็นที่อยู่แห่งปีศาจเมดูซาได้สำเร็จ…

      เพอร์ซุสมาถึงเกาะที่เต็มไปด้วยรูปแกะหินเหมือนคนจริง ในท่าทางต่างๆ ทั้งน่ากลัว น่าสงสาร ทุกรูปล้วนเคยเป็นคนมีลมหายใจ แต่กลับมากลายเป็นหินเพราะปีศาจเมดูซา เปอร์ซุสเข้าไปยังปราสาทที่อยู่ของเมดูซา และเพอร์ซุสไม่กล้ามองเมดูซาโดยตรงเพราะกลัวว่าเมื่อสบตามันแล้วจะกลายเป็นหิน เขาจึงดูเอาจากเงาที่สะท้อนในโล่ ปรากฏว่าเขาพบกับเมดูซาและเด็ดหัวมันมาจนได้และเหาะนำหัวเมดูซากลับสู่เกาะเซอริฟัส (บางตำนานว่าพอเพอร์ซุสตัดหัวเมดูซาได้นั้นก็บังเอิญสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งออกมาจากคอของเมดูซา นั่นคือ ม้ามีปีก นามว่า "ปีกาซัส" ซึ่งเขาว่าเป็นบุตรที่เมดูซาตั้งครรภ์ครั้งที่มีความสัมพันธ์กับเทพโพไซดอนในครั้งที่เมดูซายังเป็นนางพรายงดงามนางหนึ่งและถูกเทพีอธีน่าลงทัณฑ์โปรดการสาปให้เป็นปีศาจร้ายอย่างที่เป็นอยู่นั่นเอง…) แต่กลับถูกพายุพัดเข้ามาถึงอุทยานสวรรค์แห่งเทพเจ้าที่มีเทพแอตลาสที่แบกสวรรค์ไว้เป็นผู้เฝ้า เพอร์ซุสหวังจะพักผ่อนเพราะความเหน็ดเหนื่อยแต่กลับถูกเทพแอตลาสขับไล่ เพอร์ซุสจึงโมโหและชูหัวเมดูซาใส่เทพแอตลาส เมื่อเทพแอตลาสสบตากับหัวเมดูซาก็กลายเป็นหินไป ต่อมากลายเป็นภูเขาแอตลาสทางตอนเหนือทวีปแอฟริกา ต่อมาเพอร์ซุสออกเดินทางผ่านทะเลทรายซาฮาร่าบังเอิญเลือดของเมดูซาหยดไหลตามทางจึงบังเกิดเป็นงูพิษที่อาศัยในทะเลทราย

      เพอร์ซุสเดินทางผ่านกรุงเอธิโอเปียอันมีท้าวเซฟฟิฟัสปกครอง ซึ่งเขาต้องประหลาดกับเหตุการณ์ที่มีสาวงามถูกตรึงไว้กับโขดหินและมีเจ้าสัตว์ประหลาดจากทะเลกำลังจะกินนาง เพอร์ซุสจึงเข้าสังหารมันเพื่อช่วยหญิงสาวที่เป็นเหยื่อ เพอร์ซุสมาทราบทีหลังว่า หญิงสาวผู้นี้คือ เจ้าหญิงอันโดเมดร้าพระธิดาแห่งท้าวเซฟฟิฟัส ซึ่งเพอร์ซุสยังประหลาดใจว่าทำไมเจ้าหญิงต้องมาเป็นอาหารของปีศาจร้าย ท้าวเซฟฟิฟัสกล่าวถึงสาเหตุว่า
  "พระมเหสีข้า คัสสิโอเปีย กล่าวดูหมิ่นเกียรติแห่งเหล่านางพรายนีเรียดส์ทั้ง50นางซึ่งมี1ในนั้นคือเทพีอัมฟิตริตีราชินีแห่งเทพโพไซดอน พระองค์พิโรธจึงส่งสัตว์ร้ายแห่งท้องทะเลขึ้นมาอาละวาดจับพสกนิกรของเรากิน จนเราต้องส่งสาวพรหมจรรย์มาสังเวยมันทุกปีจนมาถึงคราวของเจ้าหญิงอันโดรเมดร้านี้ล่ะท่าน"
    เมื่อเพอร์ซุสทราบความจริงแล้ว ท้าวเซฟฟิฟัสพอพระทัยเพอร์ซุสที่ช่วยพระธิดาไว้จึงยกพระธิดาให้เป็นพระชายา และแล้วเพอร์ซุสก็อภิเษกกับเจ้าหญิงอันโดรเมดร้าและพาเจ้าหญิงกลับบ้านเมืองของพระองค์และเพอร์ซุสได่นำหัวของเมดูซามาถวาย พอมาถึงเกาะเซอริฟัสพบว่าพระมารดาเจ้าหญิงดาเนียหนีมาอยู่ที่บ้านของดิกทิสเพราะถูกท้าวโพรเดคทิสลวนลาม เพอร์ซุสคิดแก้แค้นจึงเข้าเฝ้าและมอบหัวเมดูซาแก่ท้าวโพรเดคทิสโดยชูหัวเมดูซาให้ เมื่อพระองค์สบตาเมดูซาพระองค์ก็กลายเป็นหินไป จากนั้นเพอร์ซุสก็ยกเมืองนี้ให้ดิกทิสเป็นกษัตริย์พระองค์ต่อไป จากนั้นเพอร์ซุสก็นำหัวเมดูซามาประดับไว้ในโล่ของเทพีอธีน่าและพระองค์ก็คือของวิเศษกลับคืนสู่เทพเจ้าซึ่งเป็นเจ้าของเดิม…

   จากนั้นเพอร์ซุสพาพระมารดาและเจ้าหญิงอันโดรเมดร้าล่องเรือสู่เมืองอาร์กอสเพื่อเยี่ยมเสด็จตาและหวังว่าเสด็จตาจะหายกลัวในคำทำนายแล้ว พอท้าวอะคริสิอัสทราบเท่านั้นก็ได้หลบหนีไปพำนักที่เมืองลาริสซาซึ่งเจ้าเมืองเป็นพระสหายเก่า เพอร์ซุสมาถึงก็ออกตามหาเสด็จตาจนมาถึงเมืองลาริสซา ซึ่งในขณะนั้นมีการจัดงานกีฬา เพอร์ซุสก็ลงแข่งขันด้วยโดยลงแข่งก๊ฬาขว้างจานเหล็ก (ควอยต์) ซึ่งบังเอิญจริงๆเพอร์ซุสขว้างแรงไปโดยไม่ได้ตั้งใจดันไปถูกชายชราคนหนึ่งเสียชีวิต พอเจ้าหญิงดาเนียมาถึงก็กลายว่าชายชราที่ตายนั้นคือ ท้าวอะคริสิคัส ซึ่งเป็นไปตามคำทำนายเสียจริงที่พระองค์จะต้องตายด้วยน้ำมือของหลาน ต่อมาเพอร์ซุสก็ขึ้นครองราชย์เมืองอาร์กอสแต่เกิดความไม่สบายใจเพราะเท่ากับว่าตนเป็นผู้สังหารเสด็จตาเหมือนว่าแย่งบัลลังก์มา พระองค์จึงมาสร้างเมืองใหม่คือ "ไมซีนี" จากนั้นพระองค์กับพระราชินีอันโดรเมดร้าก็ทรงครองรักกันอย่างมีความสุข

เทพีไนกี้ (Nike) ตามตำนานเทพปกรณัมกรีก เป็นเทพีบุคลาธิษฐานแห่งชัยชนะ นางเป็นพระธิดาแห่งเทพพาลลัส (Pallas) เทพแห่งปัญญาและนักรบ และเทพีสติกซ์ (Styx) เทพีแห่งความเกลียดชัง อาฆาตแค้น และเป็นพระขนิษฐาของเทพคราตอส (Cratos) เทพแห่งพละกำลัง เทพีไบอา (Bia) เทพีแห่งอำนาจและความรุนแรง และเทพซีลุส (Zelus) เทพแห่งการต่อสู้

เทพีไนกี้และเหล่าพี่น้องของนางเป็นผู้รับใช้ของเทพซุส (Zeus) ตามตำนานเทพ เทพีสติกซ์นำพวกนางมาช่วยเหลือเทพซุสในศึกกับยักษ์ไททัน เทพีไนกี้ทำหน้าที่เป็นผู้ขับรถม้าศึก ซึ่งภาพนี้มักปรากฏในผลงานศิลปกรรมคลาสสิก พระนามในตำนานเทพปกรณัมโรมันของนางคือ เทพีวิคตอเรีย (Victoria)

ปีกของเทพีไนกี้เป็นสัญลักษณ์ของลักษณะอันรวดเร็วแห่งชัยชนะ

เทพีไนกี้ได้รับการบูชาร่วมกับเทพีอะธีน่า (Athena) ผู้ซึ่งนางมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดด้วยหลังจากชัยชนะเหนือชาวเปอร์เชียนในสงครามแห่งกรุงมาราธอน (Battle of Marathon) ช่วง 490 ปีก่อนคริสตกาล ว่ากันว่ารูปปั้นของเทพีอาธีน่าแห่งพาร์ธีนอส ในวิหารพาร์ธีนอน (Parthenon) ในกรุงเอเธนส์ (Athens) มีเทพีไนกี้กำลังยืนอยู่บนมือของนาง ศูนย์กลางวิหารพาร์ธีนอนยังรวมเอาสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพีอาธีน่า ไนกี้ เข้าไว้ด้วย ซึ่งสถานศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวสร้างขึ้นราว 410 ปีก่อนคริสตกาล ชาวเอเธนส์ยังมีรูปปั้นของเทพีไนกี้อยู่ ณ เมืองเดลฟี (Delphi) อีกด้วย

ในปัจจุบัน เทพีไนกี้ได้กลายมาเป็นทั้งชื่อและโลโก้ของผลิตภัณฑ์ทางการกีฬายี่ห้อ ไนกี้ของสหรัฐอเมริกา โดยที่โลโก้ที่เป็นรูปโค้งยาวนั้นก็คือ ปีกของไนกี้นั่นเอง
นอกจากนี้แล้วไนกี้ยังเป็นเทพีที่อยู่บนกระโปรงหน้ารถอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรถยนต์ยี่ห้อโรลส์-รอยซ์ ของอังกฤษ

ในวัฒนธรรมสมัยนิยม การ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องเซนต์เซย์ย่า เทพีไนกี้ได้กลายร่างเป็นคทาในมือขวาของคิโด ซาโอริ ซึ่งคือเทพีอาธีน่าที่จุติลงมาในโลกยุคปัจจุบันนั่นเอง
วันวาเลนไทน์ นี้ มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ณ กรุงโรม หรืออาณาจักรโรมัน ในยุคของจักรพรรดิคลอดิอุส ที่สอง (Claudius II) โดยที่จักรพรรดิพระองค์นี้ มีนิสัยชอบกดขี่ข่มเหงผู้อื่น เขาได้สั่งให้ชาวโรมันทุกคน สักการะนับถือพระเจ้า 12 องค์ โดยผู้ที่ขัดขืนคำสั่งจะถูกทำโทษ รวมทั้งห้ามยุ่งเกี่ยวกับพวกคริสเตียนด้วย แต่นักบุณวาเลนตินุส (Valentinus) มีความเลื่อมใส ศรัทธาต่อพระคริสมาก เขาได้กล่าวไว้ว่า แม้กระทั่งความตายก็ไม่สามารถ เปลี่ยนความคิดของเขาได้ เขาจึงได้ถูกขังคุก

ช่วงอาทิตย์สุดท้ายในชีวิตของเขานั้น ได้มีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น ขณะที่เขาถูกคุมขังอยู่นั้น ผู้คุมขังได้ขอให้วาเลนตินุส สอนลูกสาวเขาซึ่งตาบอดด้วย จูเลียเป็นคนสวยแต่น่าเสียดายที่เธอตาบอดตั้งแต่แรกเกิด วาเลนตินุสได้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ต่าง ๆ สอนเลข และเล่าเรื่องพระเจ้าให้เธอฟัง จูเลีย สามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ได้ โดยคำบอกเล่าของ วาเลนตินุส เธอเชื่อใจเขาและเธอมีความสุขมากเมื่ออยู่กับเขา

วันหนึ่งจูเลียถามวาเลนตินุสว่า “ถ้าเราอธิษฐาน พระผู้เป็นเจ้าจะได้ยินเราไหม” เขาตอบ “พระองค์เจ้า จะได้ยินเราแน่นอน ท่านได้ยินเราทุกคน” จูเลียกล่าว “ท่านทราบหรือไม่ว่า ข้าอธิษฐานขออะไรทุก ๆ เช้า ทุก ๆ เย็น….ข้าหวังว่า ข้าจะได้มองเห็นโลก เห็น ทุก ๆ อย่างที่ท่านเล่าให้ข้าฟัง” วาเลนตินุสจึงบอก “พระเจ้ามอบแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ทุกคน เพียงแค่เรามีความเชื่อมั่นในพระองค์ท่าน เท่านั้นเอง”

จูเลีย ผู้ซึ่งมีความเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้าจึงได้คุกเข่า กุมมือ อธิษฐานพร้อมกับวาเลนตินุส และในขณะนั้นเอง ก็ได้มีแสงสว่างลอดเข้ามาในคุก และสิ่งมหัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้น จูเลียค่อย ๆ ลืมตา พระเจ้า…..เธอมองเห็นแล้ว!!!!! เขาและเธอจึงกล่าวขอบคุณต่อพระเจ้า และเรื่องมหัศจรรย์เรื่องนี้ ได้แพร่หลายไปทั่วราชอาณาจักร

ในคืนก่อนที่วาเลนตินุสจะสิ้นชีวิต โดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine” เข้าสิ้นชีพในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้น ศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของวาเลนตินุส แต่ผู้เป็นที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดร์และมิตรภาพอันสวยงาม 

วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สภาเทพแห่งโอลิมปัส

     สภาเทพแห่งโอลิมปัส เป็นเหล่าทวยเทพสูงสุดตามความเชื่อของชาวกรีกโบราณ มีทั้งหมด 12 องค์ สถิตย์อยู่ ณ เขาโอลิมปัส ซึ่งเป็นเขาที่มีอยู่จริงในประเทศกรีซ โดยเป็นเขาที่สูงสุดในกรีซ
เทพทั้ง 12 ประกอบด้วย
  • 1.ซูส (Zeus) เป็นเทพที่ใหญ่ที่สุด ปกครองสวรรค์และทวยเทพทั้งมวล เทพแห่งท้องนภา        
 


  • 2.โพไซดอน (Poseidon) เทพแห่งท้องทะเลและแม่น้ำ น้ำท่วมและแผ่นดินไหว เป็นพี่ชายของเทพซุส


  • 3.เฮรา (Hera) ชายาของซูส องค์ราชินีแห่งสรวงสรรค์และดวงดาว เทพีแห่งการสมรสและความจงรักภักดี


  • 4.อพอลโล (Apollo) โอรสของซูส เทพแห่งดวงอาทิตย์(แสง) เทพแห่งศิลปวิทยาการ การรักษา การพยากรณ์ทำนาย การแพทย์ และการธนู


  • 5.อาร์เทมีส (Artemis) ฝาแฝดหญิงกับอพอลโล่ เทพีแห่งดวงจันทร์ เทพีแห่งการล่าสัตว์ เหล่าสัตว์ป่า และเทพีผู้ดูแลปกป้องหญิงสาว


  • 6.อะธีนา (Athena) ธิดาอีกองค์หนึ่งของซูส เทพีแห่งสงคราม เทพีแห่งปัญญา งานหัตถกรรม (โดยเฉพาะงานทอผ้า ปั้นหม้อ และงานไม้)


  • 7.เฮฟเฟตัส (Hephaestus) เทพแห่งการตีเหล็ก เทพแห่งไฟ


  • 8.อาเรส (Ares) เทพแห่งสงคราม



    • 9.อโฟรไดท์ (Aphordite) เทพีแห่งความรัก เทพีแห่งความงาม 





    • 10.เฮอร์มีส (Hermes) เทพแห่งการค้า เทพแห่งการโจรกรรม และผู้ส่งสารของเหล่าทวยเทพ



  • 11.เฮสเทีย (Hestia) เทพแห่งการครองเรือน เทพแห่งครอบครัว


  • 12.ดีมิเตอร์ (Demeter) เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์และการเก็บเกี่ยว



  •       สำหรับ ฮาเดส (Hades) เทพปกครองโลกที่อยู่เบื้องล่าง และเป็นพี่ชายของจอมเทพซุส แต่เดิมเคยถูกจัดอยู่ใน 12 เทพโอลิมปัสด้วย แต่ตัดออกจากกลุ่มในภายหลัง